Diabetes Risk Prediction Application Based on Daily Lifestyle Behaviors

Diabetes Risk Prediction Application Based on Daily Lifestyle Behaviors (แอปพลิเคชันวิเคราะห์แนวโน้มการเป็นโรคเบาหวานจากพฤติกรรมประจำวัน)

การรับประทานอาหาร (ประเภทอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล โปรตีน ไขมัน), ปริมาณ, เวลาที่รับประทาน รูปแบบการนอนหลับ (ระยะเวลาและช่วงเวลา) ระดับความเครียดที่ผู้ใช้เลือกจากคะแนน 1 ถึง 5 (1 = ไม่เครียดเลย, 5 = เครียดมาก) ตามความรู้สึกขณะนั้น ข้อมูลกิจกรรมทางกาย ป้อนข้อมูลเอง(ประเภทกิจกรรม, ระยะเวลา, ความหนักหน่วง)

แนวคิดและแรงบันดาลใจ

ในปัจจุบัน โรคเบาหวานกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล เช่น การนอนน้อย ความเครียดสะสม การเลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูง รวมถึงการไม่ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ

โปรเจคนี้จึงมีแนวคิดในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่ช่วยประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นแบบรายวัน จากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การกิน การนอน ความเครียด และการออกกำลังกาย โดยใช้โมเดลการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning Models) วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ เพื่อให้คำแนะนำและการแจ้งเตือนแก่ผู้ใช้ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตาม ปรับพฤติกรรม และวางแผนสุขภาพได้ด้วยตนเอง

ฟังก์ชันหลัก

  1. ระบบประเมินความเสี่ยงเบาหวาน: ผู้ใช้จะได้รับคะแนนหรือระดับความเสี่ยง (ต่ำ/ปานกลาง/สูง) จากพฤติกรรมในแต่ละวัน เช่น การนอน การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และความเครียด โดยใช้โมเดล ML ในการประเมินความเสี่ยง

  2. ระบบแนะนำแบบเฉพาะบุคคล: แอปจะแนะนำพฤติกรรมหรือสิ่งที่ควรทำ/หลีกเลี่ยง เช่น ปรับเวลานอน อาหารที่ควรลด หรือกิจกรรมที่แนะนำ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมและลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน

  3. แจ้งเตือน: แอปจะส่งการแจ้งเตือนเมื่อมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การนอนน้อยหรือความเครียดสูง พร้อมเสนอคำแนะนำหรือแนวทางในการปรับปรุงพฤติกรรม เช่น “ลองนอนให้เพียงพอวันนี้” หรือ “ออกกำลังกาย 30 นาทีเพื่อช่วยลดความเครียด”

ข้อมูลที่แอปจะวิเคราะห์ ได้แก่:

  • พฤติกรรมการกิน เช่น ปริมาณอาหาร, เวลาที่รับประทาน, ประเภทอาหาร (คาร์โบไฮเดรต, น้ำตาล, ไขมัน, โปรตีน) โดยใช้ฐานข้อมูล Thai FCD สำหรับการคำนวณคุณค่าทางโภชนาการ

  • รูปแบบการนอนหลับ วิเคราะห์ระยะเวลาและช่วงเวลาการเข้านอน–ตื่นนอน

  • ระดับความเครียดรายวัน ผู้ใช้ประเมินด้วยตนเองผ่านระดับคะแนน 1–5 ตามความรู้สึก ณ เวลานั้น

  • กิจกรรมทางกาย/การออกกำลังกาย เช่น ประเภทกิจกรรม, ระยะเวลา, ความหนักหน่วง

เป้าหมาย:

  • ช่วยให้ผู้ใช้งานตระหนักและเข้าใจพฤติกรรมของตนเองที่ส่งผลต่อความเสี่ยงโรคเบาหวาน

  • ส่งเสริมให้ผู้ใช้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ

  • ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานในระยะยาวผ่านการแนะนำที่เข้าใจง่ายและอิงตามข้อมูลจริง

เทคโนโลยีหลัก

หมวด
เทคโนโลยี / เครื่องมือ

ภาษาหลัก

Dart (Flutter) สำหรับพัฒนาแอป, Python

ฐานข้อมูล

Supabase PostgreSQL

ระบบเชื่อมต่อ

Supabase Client SDK

ระบบแจ้งเตือน

OneSignal

โมเดล ML บนมือถือ

TensorFlow Lite

ระบบสมัครใช้งาน / ยืนยันตัวตน

Supabase Auth

โมเดลวิเคราะห์ที่ใช้

โมเดล
วัตถุประสงค์ / การใช้งาน

Random Forest

วิเคราะห์พฤติกรรม (การนอน อาหาร ความเครียด การออกกำลังกาย) เพื่อทำนายความเสี่ยงเบาหวาน (Yes/No)

Rule-based System

ใช้ในช่วงเริ่มต้นของผู้ใช้ใหม่ ที่ยังไม่มีข้อมูลมากพอ โดยให้คำแนะนำเบื้องต้นตามเงื่อนไขทั่วไป

แหล่งข้อมูลที่ใช้

Dataset
รายละเอียด

ข้อมูลการนอน, ความเครียด, กิจกรรม, BMI

กิจกรรม, แคลอรี, ความเครียด, การนอน

คำนวณสารอาหารจากอาหารไทย เช่น น้ำตาล, คาร์โบไฮเดรต

ใช้ฝึกโมเดลร่วมกับพฤติกรรมสุขภาพและปัจจัยเสี่ยงเบื้องต้น


ตัวอย่างบทความที่คล้ายคลึงกันกับโปรเจคนี้

1. DiabTrend

แอปช่วยจัดการโรคเบาหวานโดยใช้ AI เพื่อพยากรณ์ระดับน้ำตาลในเลือดล่วงหน้า และช่วยวางแผนการรับประทานอาหาร

ชุดข้อมูลที่ใช้

  • ข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเอง (ค่าน้ำตาล, อาหาร, อินซูลิน, การออกกำลังกาย)

  • ข้อมูลจากอุปกรณ์เช่น Abbott FreeStyle Libre

  • ฐานข้อมูลอาหาร ~1300 รายการ

ผลลัพธ์

  • พยากรณ์ระดับน้ำตาลล่วงหน้าได้ 4 ชั่วโมง

  • คำแนะนำโภชนาการเฉพาะบุคคล

  • บันทึกและวิเคราะห์สุขภาพรายวัน

วิธีการใช้งาน

  • ผู้ใช้กรอกข้อมูลหรือใช้กล้องถ่ายอาหาร

  • แอปแสดงแนวโน้มระดับน้ำตาล พร้อมคำแนะนำ

  • ใช้ AI ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

ข้อดี

  • ใช้กล้องรู้จำอาหารได้

  • พยากรณ์ระดับน้ำตาลแบบ real-time

  • รองรับอุปกรณ์ CGM

ข้อเสีย

  • ต้องมีอุปกรณ์บางชนิดเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

  • ฟีเจอร์ AI บางอย่างจำกัดในบางประเทศ

2. mySugr (โดย Accu-Chek)

แอปติดตามโรคเบาหวานแบบ all-in-one สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการจดบันทึกข้อมูลสุขภาพประจำวันและแบ่งปันข้อมูลกับแพทย์

ชุดข้อมูลที่ใช้

  • ข้อมูลจาก Accu-Chek (glucometer)

  • ข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเอง (น้ำตาล, อินซูลิน, อาหาร, คาร์โบฯ)

ผลลัพธ์

  • คำนวณ HbA1c โดยประมาณ

  • รายงานสุขภาพแบบ PDF

  • วิเคราะห์แนวโน้มสุขภาพ

วิธีการใช้งาน

  • กรอกข้อมูลในแต่ละมื้อ / วัน

  • ใช้ร่วมกับอุปกรณ์วัดน้ำตาล

  • ดูกราฟ รายงาน และแชร์ให้แพทย์ได้

ข้อดี

  • อินเตอร์เฟซใช้งานง่าย

  • เชื่อมต่อกับ Accu-Chek โดยตรง

  • มีระบบคะแนน (score) รายวัน

ข้อเสีย

  • ไม่มีการติดตามความเครียดหรือนอนหลับ

  • ไม่เน้น AI หรือการพยากรณ์ล่วงหน้า

3. Fitterfly

แพลตฟอร์มสุขภาพเมตาบอลิกที่ครอบคลุมทั้งเบาหวาน ความอ้วน ความเครียด และสุขภาพหัวใจ โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรมจริง

ชุดข้อมูลที่ใช้

  • ข้อมูลจาก CGM (เช่น FreeStyle Libre)

  • ข้อมูลพฤติกรรมที่ผู้ใช้ป้อน: อาหาร, การนอน, ความเครียด, การออกกำลังกาย

  • ข้อมูลจาก wearable devices และแอปสุขภาพอื่น ๆ

ผลลัพธ์

  • วิเคราะห์ผลกระทบของพฤติกรรมต่อระดับน้ำตาลแบบเฉพาะบุคคล

  • ปรับพฤติกรรมผ่านโปรแกรมเฉพาะบุคคล

  • ลด HbA1c อย่างมีนัยสำคัญในหลายกรณีศึกษาทางคลินิก

วิธีการใช้งาน

  • ใช้ร่วมกับ CGM และแอป

  • ประเมินพฤติกรรม/สุขภาพด้วย AI

  • รับคำปรึกษาจากโค้ชด้านสุขภาพแบบ 1:1

ข้อดี

  • ครอบคลุมทั้งพฤติกรรม ความเครียด อาหาร นอน

  • ใช้ AI วิเคราะห์ผลลัพธ์เฉพาะบุคคล

  • มีทีมโค้ชสุขภาพให้คำปรึกษา

ข้อเสีย

  • ต้องมีอุปกรณ์ CGM เพื่อให้เห็นผลเต็มที่

  • ฟีเจอร์บางอย่างมีเฉพาะในอินเดีย

4. Machine Learning-based Diabetes Prediction: A Cross-Country Perspective

  • องค์ประกอบชุดข้อมูล: ชุดข้อมูลที่ใช้ในการศึกษานี้ประกอบด้วยข้อมูลจากผู้ป่วยประมาณ 15,000 รายรวมถึงผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน บุคคลก่อนเบาหวาน และผู้ป่วยโรคเบาหวานมีค่าคุณสมบัติที่แตกต่างกัน 25 อย่าง เช่น ระดับกลูโคส อินซูลิน BMI ครีเอตินีน คอเลสเตอรอล และไกลโคฮีโมโกลบินเป็นต้น

  • แหล่งข้อมูล: ชุดข้อมูลหลักได้รับจากศูนย์วินิจฉัยยอดนิยมนอกจากนี้ยังมีการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากชุดข้อมูลเบาหวานอินเดีย PIMA ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งรวมถึงผู้ป่วย 768 รายและชุดข้อมูลจากโรงพยาบาลในแฟรงก์เฟิร์ตประเทศเยอรมนีพร้อมข้อมูลจากผู้ป่วย 2000 คน

  • โมเดลการเรียนรู้ของเครื่อง: มีการใช้โมเดลการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) ต่างๆเพื่อวิเคราะห์ชุดข้อมูล รวมถึง Decision Trees, Random Forest, Support Vector Machines และอัลกอริทึมการเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น AdaBoost, CatBoost, Gradient Boosting และ XGBoostผลลัพธ์บ่งชี้ว่าอัลกอริทึมการกระตุ้นทำงานได้ดีเป็นพิเศษในการทำนายโรคเบาหวานตามชุดข้อมูลบังกลาเทศ

  • ตัวชี้วัดประสิทธิภาพ: การศึกษาเน้นว่าการเพิ่มอัลกอริทึมจะจับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนภายในข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ประสิทธิภาพการทำนายที่ดีขึ้นแบบจำลองพื้นฐาน เช่น Random Forests และ Decision Trees ยังแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

ข้อดี

  • การตรวจจับในช่วงต้น: การใช้อัลกอริทึม ML ช่วยให้สามารถตรวจพบโรคเบาหวานได้เร็วซึ่งมีความสำคัญต่อการจัดการโรคและลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

  • การวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลาย: มุมมองข้ามประเทศของการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากบังกลาเทศอินเดียและเยอรมนีช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับการคาดการณ์โรคเบาหวานในประชากรที่แตกต่างกัน

ข้อเสีย

  • ข้อจำกัดของข้อมูล: การศึกษาเผชิญกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมใช้งานของข้อมูลที่มีฉลากซึ่งจำเป็นสำหรับการฝึกโมเดล ML ที่ถูกต้องความเป็นตัวแทนของชุดข้อมูลก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลเช่นกันเนื่องจากจำกัดเฉพาะภูมิภาคเฉพาะ

  • ความไม่สมดุลของคลาส: ชุดข้อมูลแสดงความไม่สมดุลของคลาส โดยมีจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงกว่าเมื่อเทียบกับกรณีก่อนเบาหวานและผู้ป่วยปกติความไม่สมดุลนี้อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของโมเดล ML บางรุ่น

5. Physical Activity and Psychological Stress Detection and Assessment of Their Effects on Glucose Concentration Predictions in Diabetes Management

บทความกล่าวถึงแนวทางใหม่ในการปรับปรุงการจัดการโรคเบาหวานโดยการเพิ่มแบบจำลองการทำนายความเข้มข้นของกลูโคส (GC) ผ่านการรวมข้อมูลการออกกำลังกาย (PA) และความเครียดทางจิตใจเฉียบพลัน (APS)การศึกษาเน้นถึงความสำคัญของการทำนายระดับกลูโคสอย่างถูกต้องเพื่อตัดสินใจอย่างมีข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนอาหาร กิจกรรม และการให้ยาอินซูลิน

ชุดข้อมูลที่ใช้

  • ชุดข้อมูลประกอบด้วยการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการกับบุคคล 12 คนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานประเภท 1 (T1D)

  • รวบรวมข้อมูลโดยใช้ระบบ Dexcom G5 Continuous Glucose Monitoring (CGM) และสายรัดข้อมือ Empatica E4 ซึ่งวัดสัญญาณทางสรีรวิทยาต่างๆ เช่น การนำไฟฟ้าของผิวหนัง ชีพจรปริมาณเลือด และการเคลื่อนไหว

  • การทดลองรวมถึงทั้งเงื่อนไข PA และ APS โดยมีกิจกรรมเฉพาะเช่นลู่วิ่งและการออกกำลังกายจักรยานนิ่งตลอดจนการทดสอบความเครียดทางจิต

ผลลัพธ์

  • การศึกษาพบว่าการรวมข้อมูล PA และ APS ช่วยปรับปรุงความแม่นยำของการคาดการณ์ GC อย่างมีนัยสำคัญ

  • ตัวอย่างเช่น เครือข่ายประสาทลึกที่มีหน่วยความจำระยะสั้นระยะยาวมีความแม่นยำในการจำแนกประเภท 94.8% สำหรับการจำแนกสถานะทางกายภาพ และข้อผิดพลาดสัมบูรณ์เฉลี่ย (MAE) สำหรับค่าใช้จ่ายพลังงานโดยประมาณต่ำเพียง 0.25 MET

  • ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าแบบจำลองที่รวมข้อมูล PA และ APS ได้ผลดีกว่าแบบจำลองที่กำหนดในการทำนายระดับกลูโคส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการคาดการณ์ระยะสั้น

วิธีการใช้งาน

  • ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพสามารถใช้แบบจำลองที่พัฒนาขึ้นเพื่อทำนายระดับกลูโคสในผู้ป่วย T1D ได้ดีขึ้นโดยพิจารณาข้อมูลแบบเรียลไทม์จากอุปกรณ์สวมใส่ได้

  • การรวมอัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่องกับข้อมูลทางชีวภาพสามารถอำนวยความสะดวกในระบบส่งอินซูลินอัตโนมัติช่วยเพิ่มการจัดการโรคเบาหวานโดยไม่ต้องป้อนข้อมูลด้วยตนเองจากผู้ป่วย

ข้อดี

  • ปรับปรุงความแม่นยำในการทำนาย: การรวมข้อมูล PA และ APS นำไปสู่การคาดการณ์กลูโคสที่แม่นยำยิ่งขึ้นซึ่งสามารถปรับปรุงการจัดการโรคเบาหวานได้

  • ศักยภาพอัตโนมัติ: การใช้อัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่องสามารถตัดสินใจในการใช้ยาอินซูลินเป็นไปโดยอัตโนมัติ ลดความจำเป็นในการปรับด้วยตนเอง

  • การตรวจสอบแบบเรียลไทม์: อุปกรณ์ที่สวมใส่สามารถตรวจสอบอย่างต่อเนื่องช่วยให้สามารถแทรกแซงได้ทันเวลาตามการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา

ข้อเสีย

  • ความซับซ้อนของการใช้งาน: การพัฒนาและบูรณาการโมเดลขั้นสูงเหล่านี้อาจต้องใช้ความเชี่ยวชาญและทรัพยากรทางเทคนิคที่สำคัญ

  • ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: การตรวจสอบและการรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาความเป็นส่วนตัวที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพที่ละเอียดอ่อน

  • การพึ่งพาเทคโนโลยี: การพึ่งพาอุปกรณ์สวมใส่และอัลกอริทึมอาจไม่สามารถทำได้สำหรับผู้ป่วยทุกคนโดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่สะดวกสบายกับเทคโนโลยี

ตารางการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างบทความทั้ง 5 ข้างต้น

หัวข้อ
mySugr
DiabTrend
Fitterfly
ML-based Diabetes Prediction (Paper)
Stress/Activity & Glucose Prediction (Paper)

วัตถุประสงค์

จัดการระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน

ทำนายระดับน้ำตาลในเลือดแบบ AI

โปรแกรมดูแลเบาหวานแบบครบวงจร

ทำนายความเสี่ยงเบาหวานจากข้อมูลสุขภาพ

วิเคราะห์ผลกระทบของกิจกรรมและความเครียดต่อระดับน้ำตาล

กลุ่มเป้าหมาย

ผู้ป่วยเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวาน

กลุ่มประชากรจากหลายประเทศ

ผู้ป่วยเบาหวาน (มีอุปกรณ์วัดน้ำตาล)

ข้อมูลที่ใช้

น้ำตาล, อินซูลิน, อาหาร, การออกกำลังกาย

อาหาร, น้ำตาล, กิจกรรม, CGM, ความเครียด

แคลอรี่, การนอน, ความเครียด, กิจกรรม

เพศ, อายุ, BMI, พฤติกรรมสุขภาพ

ข้อมูลเซนเซอร์กิจกรรม, ความเครียด, น้ำตาลในเลือด

เทคโนโลยี/โมเดลที่ใช้

ไม่มี AI เชิงลึก

AI + Machine Learning + Predictive Models

ไม่มีระบุชัดเจน (ใช้ทีมแพทย์)

ML (Random Forest, Logistic Regression, XGBoost ฯลฯ)

Predictive Model + Sensor Fusion

วิธีการใช้งาน

ป้อนข้อมูลหรือเชื่อมกับอุปกรณ์ → ให้คะแนนสุขภาพ

ป้อน/ดึงข้อมูลจากอุปกรณ์อัตโนมัติ → พยากรณ์น้ำตาล

รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ + ป้อนข้อมูลรายวัน

วิเคราะห์เชิงสถิติกับโมเดล ML บน dataset

วิเคราะห์ข้อมูลเวลาแบบลำดับ (time-series)

ผลลัพธ์หลัก

ควบคุมระดับน้ำตาล, รายงานรายวัน

พยากรณ์ระดับน้ำตาลล่วงหน้า

ลดน้ำตาล, น้ำหนัก, ปรับพฤติกรรม

โมเดลแม่นยำสูงจากหลายประเทศ

วิเคราะห์ผลกิจกรรม/ความเครียดต่อระดับน้ำตาลได้แม่นยำ

จุดเด่น

ใช้งานง่าย, เหมาะกับผู้เริ่มต้น

ใช้ AI เต็มรูปแบบ, รองรับ IoT

ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ, มีแผนส่วนตัว

วิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบหลากหลายประเทศ

ใช้ข้อมูลจริงจากอุปกรณ์ (wearables)

ข้อจำกัด

ไม่วิเคราะห์พฤติกรรมเชิงลึก

อาจใช้งานยากสำหรับผู้ไม่ชำนาญ

ไม่ระบุรายละเอียดของโมเดล

ไม่รองรับข้อมูลพฤติกรรมเฉพาะบุคคล

ใช้เฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอุปกรณ์ตรวจ

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโปรเจคของฉันกับบทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่ยกตัวอย่างมา: mySugr

โปรเจคของฉัน:

  • วิเคราะห์พฤติกรรมประจำวัน เช่น การกิน, การนอน, ความเครียด, การออกกำลังกาย เพื่อทำนายความเสี่ยงเบาหวานล่วงหน้า

  • ใช้ Machine Learning เช่น Random Forest, XGBoost, LSTM บนแอปมือถือ

  • ออกแบบเพื่อให้บุคคลทั่วไปติดตามพฤติกรรมและปรับปรุงสุขภาพเชิงป้องกัน

mySugr:

  • แอปสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อจดบันทึกและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด

  • ไม่เน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยง

  • ใช้งานง่ายแต่ไม่มีโมเดล ML วิเคราะห์เชิงลึก


บทความที่ยกตัวอย่างมา: DiabTrend

โปรเจคของฉัน:

  • ใช้ข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเอง เช่น ความเครียด, การกิน, การนอน เพื่อทำนายความเสี่ยง

  • มีเป้าหมายเพื่อให้คำแนะนำเชิงพฤติกรรมแก่บุคคลทั่วไป

DiabTrend:

  • ใช้ AI เพื่อทำนายระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานล่วงหน้า (personalized)

  • รองรับอุปกรณ์ IoT และเซนเซอร์ เช่น Continuous Glucose Monitor (CGM)

  • มุ่งเน้นการจัดการระดับน้ำตาลแบบเรียลไทม์


บทความที่ยกตัวอย่างมา: Fitterfly

โปรเจคของฉัน:

  • ให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลพฤติกรรมประจำวันด้วยตนเอง

  • ประเมินความเสี่ยงเบาหวานเบื้องต้นด้วย ML บนแอป

Fitterfly:

  • เป็นโปรแกรมดูแลผู้ป่วยเบาหวานแบบครบวงจร โดยมีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา

  • ใช้ข้อมูลพฤติกรรมจริง เช่น การกิน การนอน การออกกำลังกาย เพื่อปรับแผนรายบุคคล

  • ไม่ได้เน้นใช้โมเดล ML ฝังในแอปมากนัก


บทความที่ยกตัวอย่างมา:Machine Learning-based Diabetes Prediction: A Cross-Country Perspective

โปรเจคของฉัน:

  • ใช้ข้อมูลพฤติกรรม เช่น ความเครียด การนอน อาหาร ฯลฯ

  • ฝึกโมเดลจาก dataset ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้รายวัน

บทความวิจัยนี้:

  • วิเคราะห์ข้อมูลจากหลายประเทศ เช่น อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง BMI เพื่อทำนายความเสี่ยงเบาหวาน

  • ใช้โมเดล ML เช่น Logistic Regression, Random Forest, Naïve Bayes ฯลฯ

  • ไม่เน้นข้อมูลพฤติกรรมรายวันแบบละเอียด


บทความที่ยกตัวอย่างมา:Physical Activity and Psychological Stress Detection and Glucose Prediction in Diabetes Management

โปรเจคของฉัน:

  • ผู้ใช้ป้อนข้อมูลพฤติกรรมด้วยตนเอง

  • วิเคราะห์แนวโน้มความเสี่ยงจากรูปแบบการใช้ชีวิต

บทความวิจัยนี้:

  • ใช้ข้อมูลจากอุปกรณ์สวมใส่ เช่น heart rate, GSR, accelerometer เพื่อตรวจจับกิจกรรมและความเครียด

  • ใช้โมเดล time-series เพื่อทำนายระดับน้ำตาลในเลือดแบบเรียลไทม์

  • เน้นการใช้งานในผู้ป่วยที่มีอุปกรณ์ IoT

สรุป

หัวข้อ
โปรเจคของคุณ
บทความ/ระบบที่เกี่ยวข้อง

เป้าหมายหลัก

วิเคราะห์และทำนาย ความเสี่ยงเบาหวานล่วงหน้า จากพฤติกรรมประจำวัน

ส่วนใหญ่เน้น การจัดการเบาหวานสำหรับผู้ที่เป็นอยู่แล้ว

ประเภทข้อมูล

พฤติกรรมที่ผู้ใช้ป้อนเอง เช่น การกิน, การนอน, ความเครียด, ออกกำลังกาย

ข้อมูลสุขภาพพื้นฐาน, หรือข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT

การใช้ AI/ML

ใช้หลายโมเดล ML รวมถึง Random Forest, XGBoost, LSTM

บางระบบไม่ใช้ ML (mySugr, Fitterfly) / บางบทความใช้ ML แต่ไม่เน้นพฤติกรรมชีวิตประจำวัน

ผู้ใช้งานเป้าหมาย

บุคคลทั่วไปที่ยังไม่เป็นเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว

อุปกรณ์เสริม

ไม่ต้องใช้เซนเซอร์หรืออุปกรณ์เพิ่มเติม

บางระบบใช้เซนเซอร์ (DiabTrend, บทความ stress/glucose)

แนวทางการวิเคราะห์

วิเคราะห์พฤติกรรมแบบลำดับเวลา (time-series) เพื่อดูแนวโน้มสะสม

วิเคราะห์จุดข้อมูลปัจจุบันหรือแบบ snapshot มากกว่า

Last updated